🧱 ทำไมปี 2026 เราจึงต้องกลับมาทำความเข้าใจกับ “คอนกรีต”
คอนกรีต อาจเป็นวัสดุก่อสร้างที่เราคุ้นเคยมากที่สุด แต่ในปี 2026 ที่ต้นทุนวัสดุสูงขึ้น เทคโนโลยีก่อสร้างเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และแนวคิดเรื่องความยั่งยืนกลายเป็นหัวใจของโครงการ คอนกรีตไม่ได้เป็นแค่วัสดุพื้นฐานอีกต่อไป แต่กลายเป็น “หัวใจสำคัญ” ที่ส่งผลต่อคุณภาพ โครงสร้าง และต้นทุนโดยตรงในทุกโครงการ ตั้งแต่บ้านเดี่ยว โกดัง ไปจนถึงอาคารสูงและโครงสร้างสาธารณูปโภคขนาดใหญ่
บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจ “คอนกรีต” อย่างรอบด้าน ในปี 2026 ทั้งความหมายเชิงวิศวกรรม, ประเภท, สูตรผสม, การเลือกใช้, แนวโน้มใหม่ ๆ และตัวอย่างการใช้งานที่เชื่อมโยงกับผลิตภัณฑ์จริง เช่น แผ่นพื้น ท่อ และกระเบื้อง เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจใช้งานคอนกรีตได้อย่างมืออาชีพและคุ้มค่าที่สุด
1. คอนกรีต คืออะไร? ความหมายทางวิศวกรรมและเชิงโครงสร้าง
คำว่า “คอนกรีต” (Concrete) หมายถึงวัสดุก่อสร้างที่ได้จากการผสม ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ + น้ำ + วัสดุผสม (ทราย, หิน) แล้วเกิดปฏิกิริยา Hydration ทำให้แข็งตัวและมีความทนทานสูง
ในทางวิศวกรรม คอนกรีตคือวัสดุที่ใช้ในการ รับแรงอัด เป็นหลัก (Compressive Strength) โดยสามารถออกแบบให้รับแรงได้ตั้งแต่ 180–600 ksc หรือมากกว่านั้นในงานพิเศษ เช่น เสาเข็ม หรือฐานรากของสะพาน
✅ จุดเด่นของคอนกรีต:
แข็งแรง ทนแรงกดได้ดี
ขึ้นรูปได้ตามต้องการ
ทนแดด ฝน สารเคมี และไฟได้
ผลิตได้จากวัสดุในประเทศ ไม่ต้องนำเข้า
การใช้งานคอนกรีตจะนิยมเสริมเหล็ก (เหล็กเส้นกลม/ข้ออ้อย) เข้าไป เพื่อให้สามารถรับแรงดึงได้ดีด้วย จึงเป็นที่มาของคำว่า “คอนกรีตเสริมเหล็ก (Reinforced Concrete)” ที่ใช้แทบทุกโครงการก่อสร้างในประเทศไทย
2. ส่วนผสมของคอนกรีต – ปูน น้ำ ทราย หิน และสารผสมเพิ่ม
คอนกรีตคุณภาพดีต้องเริ่มจากส่วนผสมที่เหมาะสม โดยปริมาณแต่ละชนิดมีผลต่อทั้งความแข็งแรง การเซตตัว การแตกร้าว และการใช้งานหน้างานโดยตรง
ส่วนผสม หน้าที่ หมายเหตุ
ปูนซีเมนต์ (Cement) วัสดุประสาน ควรใช้ปูนปอร์ตแลนด์ประเภท 1 หรือ 3
น้ำ (Water) ทำให้เกิดปฏิกิริยา Hydration ต้องสะอาด ไม่มีสารเคมีปนเปื้อน
ทราย (Fine Aggregate) เติมช่องว่างในโครงสร้าง ใช้ทรายหยาบจากแหล่งที่มีมาตรฐาน
หิน (Coarse Aggregate) ให้ความแข็งแรง หิน 3/4 นิ้ว นิยมในงานทั่วไป
สารผสมเพิ่ม (Admixture) เพิ่มคุณสมบัติพิเศษ เช่น หน่วงเซตตัว, ลดน้ำ, กันซึม ฯลฯ


อัตราส่วนโดยทั่วไปของคอนกรีตทั่วไป:
ปูน : ทราย : หิน : น้ำ = 1 : 2 : 4 : 0.5 (ขึ้นอยู่กับงาน)
การปรับสูตรให้เหมาะสมกับแต่ละงาน เช่น พื้น, ผนัง, เสา, ท่อ, หรือกระเบื้อง มีผลโดยตรงต่อความแข็งแรง อายุการใช้งาน และต้นทุนรวมของโครงการ
3. ประเภทของคอนกรีตที่นิยมในปี 2026
ในปี 2026 คอนกรีตไม่ได้มีแค่แบบเดียวอีกต่อไป แต่แตกแขนงออกเป็นหลายประเภท เพื่อรองรับความต้องการของงานก่อสร้างที่หลากหลาย ทั้งในแง่ แรงรับน้ำหนัก, ความเร็วในการทำงาน, อายุใช้งาน, และ ลักษณะโครงสร้างเฉพาะทาง การเลือกใช้คอนกรีตให้เหมาะกับประเภทงานจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้รับเหมาและวิศวกรต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้
3.1คอนกรีต ผสมเสร็จ (Ready-Mixed Concrete)
ใช้ในงานทั่วไป เช่น พื้น, คาน, เสา, ฐานราก
ผสมจากโรงงานและส่งด้วยรถปูน (Transit Mixer)
ควบคุมคุณภาพได้ดี แต่ต้องเทให้ทันภายใน 1.5–2 ชม.
มีหลากหลายเกรด เช่น 210, 240, 280, 300 ksc
3.2 คอนกรีต อัดแรง (Prestressed Concrete)
ใช้ในแผ่นพื้น, คานสะพาน, เสาเข็ม
ฝังลวดแรงดึงก่อนเท เพื่อเพิ่มกำลังรับแรง
แข็งแรงมาก ใช้ลดขนาดหน้าตัดหรือยาวได้มากขึ้นโดยไม่โก่งตัว
นิยมใน แผ่นพื้นสำเร็จรูปของทีริช เพราะน้ำหนักเบา ติดตั้งเร็ว
3.3 คอนกรีต เสริมใย (Fiber-Reinforced Concrete)
ผสมไฟเบอร์สังเคราะห์หรือเหล็กเส้นเล็ก ๆ เข้าไปในเนื้อคอนกรีต
ช่วยลดรอยแตกร้าวจากการยุบตัว และเพิ่มความเหนียว
นิยมในพื้นโรงงาน ผนังกันดิน หรือชิ้นงานบางที่เสี่ยงแตก
3.4 คอนกรีต กันซึม (Waterproof Concrete)
มีสารผสมพิเศษ เช่น Water Reducer หรือสารเคมีอุดรูพรุน
ใช้ในห้องน้ำ สระว่ายน้ำ ใต้ดิน หรือบ่อน้ำ
ต้องการสูตรเฉพาะจากโรงงานผลิต
3.5 คอนกรีต มวลเบา (Lightweight Concrete)
มีน้ำหนักเบากว่าคอนกรีตทั่วไป (ประมาณ 1,800–2,000 kg/m³)
ใช้ในงานที่ไม่ต้องรับแรงสูง เช่น พื้นที่ไม่รับน้ำหนัก, กำแพงเบา
3.6 คอนกรีต ตกแต่ง (Architectural Concrete)
ใช้ทำผิวลาย เช่น พื้นลายหินขัด, คอนกรีตพิมพ์ลาย
นิยมในงาน Landscape หรือพื้นที่โชว์หน้าตึก
3.7 คอนกรีต พิเศษ (Specialty Concrete)
เช่น คอนกรีตทนไฟ คอนกรีตแม่เหล็ก คอนกรีตโปร่งแสง
ใช้งานเฉพาะทาง เช่น ห้องวิจัย โรงงานอุตสาหกรรม หรืออาคารดีไซน์ล้ำสมัย
4. คอนกรีต กับมาตรฐานการรับแรงในงานก่อสร้าง
คอนกรีต
หนึ่งในคุณสมบัติสำคัญที่สุดของคอนกรีตคือ “ความสามารถในการรับแรงอัด (Compressive Strength)” ซึ่งเป็นตัวแปรหลักที่วิศวกรใช้ในการออกแบบโครงสร้างอาคาร ถนน สะพาน หรือชิ้นส่วนสำเร็จรูปต่าง ๆ เช่น แผ่นพื้น ท่อ หรือเสาเข็ม
ค่ากำลังอัดของคอนกรีตวัดอย่างไร?
วัดเป็นหน่วย “กิโลกรัมต่อตารางเซนติเมตร (kg/cm²)” หรือเรียกว่า “ksc”
ทดสอบโดยการ บีบก้อนลูกบาศก์คอนกรีต (Cube Test) ขนาด 15x15x15 ซม. ที่อายุ 28 วัน
ค่าที่ได้คือค่ากำลังอัด (fc’) ซึ่งเป็นตัวกำหนดว่าโครงสร้างสามารถรับน้ำหนักได้เท่าใด
เกรดคอนกรีตที่นิยมในปี 2026
เกรด (ksc) ใช้กับงานประเภทไหน หมายเหตุ
180 ksc งานรองพื้น, ทางเท้า ราคาถูก ใช้รับน้ำหนักไม่มาก
210 ksc พื้นบ้าน, ผนัง, คานเล็ก นิยมมากที่สุดในงานทั่วไป
240 ksc คาน, เสา, พื้นอาคาร เหมาะกับบ้าน 2 ชั้นขึ้นไป
280–300 ksc ฐานราก, เสาเข็ม, คานใหญ่ ใช้ในงานโครงสร้างหลัก
>350 ksc งานสะพาน, โรงงาน, พรีแคส ต้องใช้โรงงานที่ควบคุมสูตรพิเศษ
การกำหนดมาตรฐานในงานก่อสร้างไทย
อิงตามมาตรฐานของ วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย (วสท.)
ต้องผ่านการตรวจสอบคุณภาพจากห้องแล็บ เช่น Lab Cube Test, Slump Test
หากใช้คอนกรีตไม่ตรงเกรด อาจทำให้อาคารไม่ปลอดภัย และไม่ผ่านการอนุมัติแบบจากหน่วยงานรัฐ
ตัวอย่างการเลือกคอนกรีตจาก trich.co.th
แผ่นพื้นสำเร็จรูป: ใช้คอนกรีตอัดแรง > 300 ksc เพื่อรองรับระยะยื่นและน้ำหนักสูง
ท่อคอนกรีต: ใช้เกรด 280–350 ksc เพื่อรองรับแรงดันใต้ดินและแรงกดจากยานพาหนะ
กระเบื้องหลังคาคอนกรีต: ใช้คอนกรีตผสมพิเศษ พร้อมสารลดน้ำ เพื่อให้ได้ผิวเรียบและน้ำหนักเหมาะสม
5. ตัวอย่างการใช้งานคอนกรีตในแต่ละโครงสร้าง (พื้น, เสา, คาน, ผนัง, ท่อ, กระเบื้อง ฯลฯ)
แม้คอนกรีตจะดูเป็นวัสดุพื้นฐาน แต่เมื่อแยกเป็นแต่ละส่วนของโครงสร้าง จะพบว่าคอนกรีตมี บทบาทเฉพาะ และต้องใช้ “สูตร” หรือ “ประเภท” ที่แตกต่างกันไปตามหน้าที่การรับแรง น้ำหนัก และสภาพแวดล้อมการใช้งาน หากเลือกผิด ไม่เพียงแต่สิ้นเปลืองงบ แต่ยังเสี่ยงต่อปัญหาโครงสร้างในระยะยาว
5.1 พื้น (Floor Slab)
ชนิดคอนกรีต: 210–240 ksc หรือแผ่นพื้นสำเร็จรูปแบบอัดแรง
หน้าที่: รับน้ำหนักจร เช่น คน เฟอร์นิเจอร์
คำแนะนำ: บ้าน 2 ชั้นขึ้นไปควรใช้แผ่นพื้นสำเร็จจากโรงงาน เพื่อลดเวลาและปัญหาการโก่งตัว
✅ สินค้าทีริชแนะนำ: แผ่นพื้นสำเร็จรูปกำลังอัดสูง เหมาะกับบ้านจัดสรร อาคารพาณิชย์
5.2 เสา (Column)
ชนิดคอนกรีต: 240–300 ksc ขึ้นไป
หน้าที่: รับน้ำหนักทั้งหมดของอาคารจากหลังคาลงฐานราก
คำแนะนำ: ห้ามใช้คอนกรีตต่ำกว่า 240 ksc กับเสาโดยเด็ดขาด
5.3 คาน (Beam)
ชนิดคอนกรีต: 240–300 ksc
หน้าที่: รับน้ำหนักจากพื้นและกระจายไปยังเสา
คำแนะนำ: คานที่ยาวเกิน 4 เมตร ควรใช้เหล็กเสริมมากขึ้น และคอนกรีตที่มี slump พอเหมาะ
5.4 ผนัง (Wall / Precast Panel)
ชนิดคอนกรีต: 180–240 ksc หรือใช้แผ่นพรีแคส
หน้าที่: กันแดด กันฝน รับแรงลมบางส่วน
คำแนะนำ: ถ้าใช้พรีแคสควบคุมคุณภาพจากโรงงานจะได้ผิวเรียบ ใช้เวลาติดตั้งน้อย
5.5ท่อระบายน้ำ (Concrete Pipe)
ชนิดคอนกรีต: >280 ksc เสริมเหล็ก
หน้าที่: รับแรงกดจากดินและรถบรรทุก, กันการซึมของน้ำ
คำแนะนำ: ต้องใช้ท่อที่มี มอก. และผลิตด้วยระบบแรงอัดสูง เพื่อให้แน่น และทนแรงได้จริง
✅ สินค้าทีริชแนะนำ: ท่อคอนกรีตเสริมเหล็ก มอก. ส่งตรงจากโรงงาน
6. แนวโน้มการเลือกใช้คอนกรีตในปี 2026: ความทนทาน, ความเร็ว, ความคุ้มค่า
ปี 2026 เป็นปีที่การตัดสินใจเลือกใช้คอนกรีตของเจ้าของโครงการและผู้รับเหมาไม่ได้ขึ้นอยู่กับ “ราคาอย่างเดียว” อีกต่อไป แต่ต้องพิจารณาร่วมกับ 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ ความทนทานในระยะยาว, ความเร็วในการก่อสร้าง, และ ความคุ้มค่ารวมทั้งโครงการ ซึ่งเป็นมุมที่ตลาดเริ่มให้ความสำคัญมากขึ้นในยุคที่ต้นทุนสูงขึ้น และแรงงานหายาก
1. ความทนทาน: อายุการใช้งานมากกว่า 30 ปี = ลดต้นทุนซ่อม
การเลือกใช้คอนกรีตคุณภาพดีตั้งแต่ต้น ช่วยลดปัญหาภายหลัง เช่น แตกร้าว รั่วซึม หรือทรุด
วัสดุคอนกรีตสำเร็จจากโรงงานที่ควบคุมคุณภาพ เช่น แผ่นพื้น, ท่อ หรือเสาเข็ม สามารถรับแรงและสภาพอากาศได้ดีกว่าคอนกรีตเทหน้างานที่ไม่แน่นหนา
2. ความเร็วในการทำงาน: เวลาก่อสร้าง = ต้นทุนจริง
คอนกรีตสำเร็จรูปช่วยลดเวลาเฉลี่ยลงได้ 20–50% เช่น:
แผ่นพื้นจากโรงงานติดตั้งได้วันละ 100–150 ตร.ม.
ท่อคอนกรีตวางได้ทันที ไม่ต้องรอเซตตัว
ยิ่งโครงการเสร็จเร็ว ค่าแรงและค่าโสหุ้ยน้อยลง กำไรเหลือมากขึ้น
3. ความคุ้มค่าในภาพรวม: วางแผนตั้งแต่ BOQ
แม้ต้นทุนคอนกรีตคุณภาพดีจะสูงกว่าระดับ 5–15% แต่เมื่อนำมาคิดรวมทั้งโครงการ เช่น เวลา ค่าแรง ความเสียหายซ้ำซ้อน ฯลฯ จะพบว่า:
การใช้คอนกรีตคุณภาพสูงทำให้โครงการปลอดภัยกว่า ประหยัดกว่าในระยะยาว
เจ้าของโครงการหลายรายพร้อมจ่ายเพิ่ม หากผู้รับเหมานำเสนอด้วยข้อมูลที่ชัดเจน
ตัวอย่างการตัดสินใจปี 2026
ทางเลือก ราคาต่อหน่วย เวลาก่อสร้าง ความเสี่ยงเสียงาน ต้นทุนรวมทั้งโครงการ
คอนกรีตเทหน้างาน ถูกกว่า ช้า สูง แปรผัน
คอนกรีตสำเร็จรูป แพงขึ้น เร็ว ต่ำ คุ้มค่ากว่า
7. วิธีเลือกคอนกรีตให้เหมาะกับโครงการของคุณ
การเลือกใช้คอนกรีตให้ “ถูกประเภท” และ “ตรงกับหน้าที่ของโครงสร้าง” เป็นสิ่งที่ช่วยลดความเสี่ยง ป้องกันปัญหา และควบคุมงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในปี 2026 ที่ต้นทุนวัสดุก่อสร้างยังสูงอย่างต่อเนื่อง การเลือกผิดแม้เพียงเล็กน้อย อาจทำให้ต้องรื้อ–ทำใหม่ ซึ่งเสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น
7.1 เริ่มจากเข้าใจประเภทโครงการ
ประเภทงาน ลักษณะสำคัญ คอนกรีตที่ควรใช้
บ้านพักอาศัย รับน้ำหนักทั่วไป, 1–2 ชั้น 210–240 ksc ผสมเสร็จ
อาคาร 3–5 ชั้น รับน้ำหนักมากขึ้น 280–300 ksc, แนะนำให้ใช้แผ่นพื้นอัดแรง
โกดัง/โรงงาน ต้องการพื้นแข็งแรง, ทนรถหนัก 300–350 ksc, เสริมใยเหล็ก
ถนนคอนกรีต รับน้ำหนักจรตลอดเวลา 280 ksc ขึ้นไป, สูตร slump ต่ำ
ท่อระบายน้ำ แรงอัดจากดินสูง, กันซึม ท่อคอนกรีตเสริมเหล็ก 300–400 ksc
งานตกแต่ง เน้นผิว, ดีไซน์ คอนกรีตพิมพ์ลาย/ตกแต่งพิเศษ
7.2 วิเคราะห์ตามปัจจัยต่อไปนี้:
แรงที่ต้องรับ: พิจารณาเป็นอันดับแรก ถ้าใช้งานหนัก ต้องใช้เกรดสูง
ตำแหน่งในโครงสร้าง: เสา/คาน ต้องแข็งแรงมากกว่าผนัง/พื้น
สภาพหน้างาน: พื้นที่จำกัดหรือมีเวลาจำกัด ควรใช้คอนกรีตสำเร็จรูป
งบประมาณ: คำนวณต้นทุนรวม ไม่ใช่แค่ราคาต่อคิว
การขนส่ง: อยู่ห่างจากโรงงานหรือไม่? ต้องใช้รถปูนขนาดใด?
7.3 ตัวอย่างแนวทางการเลือกจากลูกค้า trich.co.th
ลูกค้า โครงการ ทางเลือก
ผู้รับเหมาหมู่บ้าน บ้าน 2 ชั้น 10 หลัง เลือกแผ่นพื้นอัดแรง + คอนกรีต 240 ksc
เจ้าของโกดัง โรงงานผลิต 2,000 ตร.ม. ใช้คอนกรีตผสมใยเหล็ก 300 ksc ปาดเรียบ
ช่างอิสระ ต่อเติมบ้าน สั่งคอนกรีตผสมเสร็จ 210 ksc ปริมาณน้อย พร้อมปั๊มเล็ก
8. คอนกรีต แบบไหนควรใช้ที่ไหน วิศวกรแนะนำ
แม้การเลือกคอนกรีตจะดูเป็นเรื่องของสูตรผสมหรือเกรด ksc แต่ในความเป็นจริง วิศวกรโครงสร้างจะพิจารณา “บริบทของการใช้งาน” และ “เงื่อนไขหน้างาน” เป็นหลัก เพื่อให้ได้วัสดุที่เหมาะสมที่สุดทั้งด้านโครงสร้าง ความปลอดภัย และต้นทุน
ต่อไปนี้คือคำแนะนำจากประสบการณ์ตรงของทีมวิศวกร trich.co.th ซึ่งดูแลลูกค้าโครงการทั่วประเทศ:
✅ พื้นบ้าน 1–2 ชั้นทั่วไป:
ใช้ 210–240 ksc ก็เพียงพอ
ถ้าหน้างานสะดวก สามารถเทหน้างานได้โดยตรง
ถ้าต้องการความเร็ว – แนะนำใช้แผ่นพื้นสำเร็จรูป เพื่อให้ได้ระดับพื้นสม่ำเสมอ
✅ เสา–คาน:
เริ่มต้นที่ 240 ksc ขึ้นไป
ถ้าเป็นโครงการที่ต้องขออนุญาต (อาคาร 2 ชั้นขึ้นไป) ให้ยึดตามแบบวิศวกร
ถ้าหล่อในแม่พิมพ์ – ต้องเทต่อเนื่อง ไม่ควรเว้นช่วงมากเกิน 45 นาที
✅ งานใต้ดิน หรือโดนน้ำตลอดเวลา:
ควรใช้คอนกรีตกันซึม หรือผสมสาร Waterproofer
เช่น ถังเก็บน้ำ สระว่ายน้ำ ห้องน้ำ
ปูนต้องมีความแน่นสูง (Slump ต่ำ) และอาจต้องใช้ Vibrator หน้างาน
✅ พื้นโรงงาน หรือจอดรถบรรทุก:
ใช้ 300–350 ksc + ไฟเบอร์เสริม
ลดการแตกร้าวจากน้ำหนักเคลื่อนที่
ผิวหน้าคอนกรีตควรปาดเรียบด้วยเครื่องขัดมัน
✅ งานที่เน้นความเร็ว หรือเทในพื้นที่จำกัด:
แนะนำใช้คอนกรีตสำเร็จรูปจากโรงงาน (Precast)
เช่น แผ่นพื้น พรีแคส ผนังสำเร็จ ท่อระบายน้ำ
ช่วยลดเวลา ลดค่าแรง และควบคุมคุณภาพได้ดีกว่า
🧩 ข้อผิดพลาดที่มักพบ:
สั่งคอนกรีต “เกินเกรด” โดยไม่จำเป็น → เปลืองงบ
ใช้คอนกรีต Slump สูงในพื้นที่ลาดเอียง → เทแล้วไหล ทำให้ไม่แน่น
ไม่ควบคุมอุณหภูมิระหว่างขนส่ง → คอนกรีตเซตตัวก่อนถึงหน้างาน
ไม่ใช้ Vibrator → คอนกรีตไม่แน่น เกิดรูพรุน น้ำซึมเข้าได้
✅ Tip วิศวกร:
“อย่าคิดว่าคอนกรีตเป็นของแข็งที่เหมือนกันหมด
เพราะแค่คุณเติมน้ำผิดนิดเดียว ก็อาจเสียโครงสร้างทั้งหลัง”
9. สรุป: คอนกรีตคือวัสดุที่ยังจำเป็นหรือไม่ในอนาคต?
แม้โลกของงานก่อสร้างจะมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นระบบพรีแคส, 3D Printing, หรือแม้แต่วัสดุเบารุ่นใหม่ที่มีความยืดหยุ่นสูง แต่ “คอนกรีต” ยังคงยืนหยัดเป็นวัสดุหลักที่วงการก่อสร้างขาดไม่ได้ และในปี 2026 นี้ ความสำคัญของคอนกรีตก็ยังทวีความชัดเจนยิ่งขึ้น
เพราะคอนกรีตไม่ใช่แค่ “ของแข็งเทา ๆ” อีกต่อไป แต่คือวัสดุที่:
มีสูตรเฉพาะตามหน้าที่ใช้งาน
สามารถควบคุมคุณภาพได้สูงขึ้นด้วยระบบโรงงาน
ตอบโจทย์เรื่องความแข็งแรง ทนทาน และต้นทุนระยะยาว
แปรรูปเป็นวัสดุสำเร็จรูปอื่นได้หลากหลาย เช่น แผ่นพื้น, ท่อ, กระเบื้อง ฯลฯ
✅ ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของบ้าน ผู้รับเหมา หรือเจ้าของโครงการ
หากเข้าใจการเลือกใช้ “คอนกรีต” อย่างถูกต้องตั้งแต่ต้น
จะสามารถควบคุมทั้ง คุณภาพงาน และ งบประมาณ ได้อย่างมืออาชีพในทุกโครงการ