คอนกรีต กับงานก่อสร้าง ปี 2026

คอนกรีต

คอนกรีต กับงานก่อสร้าง ปี 2026   ยังคงเป็นวัสดุก่อสร้างที่ขาดไม่ได้ในทุกโครงการ ไม่ว่าจะเป็นงานบ้านพักอาศัย อาคารสูง โรงงาน หรือระบบสาธารณูปโภค งานก่อสร้างจำนวนมากยังคงพึ่งพาคอนกรีตทั้งในรูปแบบเทสดและสำเร็จรูป โดยเฉพาะในช่วงที่ประเทศไทยกำลังอยู่ในยุคเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจ การลงทุนภาครัฐ และการขยายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ระดับภูมิภาค ราคาวัสดุก่อสร้างที่ผันผวน โดยเฉพาะปูนซีเมนต์ที่เป็นส่วนประกอบหลักของคอนกรีต ก็ส่งผลอย่างมากต่อต้นทุนรวมของโครงการก่อสร้าง ทั้งผู้รับเหมา เจ้าของโครงการ และซัพพลายเออร์ล้วนได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้

บทความนี้จะพาทุกท่านเจาะลึกความสัมพันธ์ของ “คอนกรีต” กับงานก่อสร้างในปี 2026 ว่าจะมีทิศทางอย่างไร ปัจจัยใดกำหนดราคาและความต้องการในตลาด พร้อมเจาะลึกว่า คอนกรีตที่ถูกนำไปแปรรูปเป็นแผ่นพื้น ท่อ กระเบื้องหลังคา ฯลฯ มีบทบาทสำคัญแค่ไหนต่ออุตสาหกรรมก่อสร้างโดยรวม

2. คอนกรีต กับ เศรษฐกิจปี 2026 กับผลกระทบต่อตลาดก่อสร้าง

ปี 2026 เป็นช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกยังคงเผชิญความไม่แน่นอนจากหลายปัจจัย ทั้งภาวะเงินเฟ้อที่คงตัวในระดับสูงจากราคาน้ำมันโลก ความผันผวนของค่าเงินบาท และการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งล้วนส่งผลโดยตรงต่อต้นทุนในการดำเนินงานของภาคการก่อสร้าง โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจที่ต้องอาศัยเงินทุนหมุนเวียนจำนวนมาก เช่น โครงการบ้านจัดสรร อาคารสำนักงาน โรงงาน และโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ

แนวโน้มอุตสาหกรรมก่อสร้าง: ยืดหยุ่นแต่ไม่เสถียร

ข้อมูลจากศูนย์วิจัยเศรษฐกิจต่างๆ ระบุว่าอุตสาหกรรมก่อสร้างในไทยปี 2026 จะมีการขยายตัวเล็กน้อยอยู่ที่ 2.5–4% โดยเฉพาะในส่วนของงานภาครัฐ เช่น รถไฟฟ้าสายใหม่ ถนนวงแหวน หรือโครงการขยายสนามบิน อย่างไรก็ตาม งานภาคเอกชนยังคงชะลอตัว โดยเฉพาะกลุ่มอสังหาริมทรัพย์แนวราบและคอนโดมิเนียมที่ยังไม่สามารถฟื้นตัวเต็มที่จากภาวะต้นทุนก่อสร้างที่สูงขึ้น

คอนกรีต = ศูนย์กลางของแรงสะเทือนทางเศรษฐกิจในไซต์งาน

เมื่อแปลความเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจมาในบริบทของไซต์งานก่อสร้าง “คอนกรีต” กลายเป็นวัสดุที่รับผลกระทบมากที่สุด ด้วยเหตุผลดังนี้:

  • คอนกรีตใช้วัตถุดิบหลักคือปูนซีเมนต์ ซึ่งราคาขึ้นตามต้นทุนพลังงานและวัตถุดิบโลก

  • การขนส่งคอนกรีตต้องใช้รถเฉพาะทาง ทำให้ต้นทุนโลจิสติกส์สูงขึ้นเมื่อราคาน้ำมันเพิ่ม

  • ต้นทุนค่าแรงงานและค่าดำเนินการอื่นๆ ทำให้ผู้รับเหมาจำเป็นต้องจัดสรรงานแบบ “มีประสิทธิภาพสูงสุด”

ผลลัพธ์คือ ผู้รับเหมาหลายรายหันมาใช้คอนกรีตสำเร็จรูปมากขึ้น เช่น แผ่นพื้นสำเร็จ ท่อคอนกรีตสำเร็จ และกระเบื้องหลังคาคอนกรีตที่มีมาตรฐานควบคุมการผลิตจากโรงงาน ลดปัญหาหน้างาน และควบคุมงบได้ดีกว่าแบบเทหน้างานดั้งเดิม

3. ปูนซีเมนต์ปรับราคาต่อเนื่อง: ผลกระทบต่อต้นทุนคอนกรีต

ในช่วง 3–5 ปีที่ผ่านมา ราคาปูนซีเมนต์มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงหลังปี 2022 ที่ต้นทุนพลังงานโลกพุ่งสูงขึ้นจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และการขาดแคลนวัตถุดิบ ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตปูนซีเมนต์สูงขึ้นตามไปด้วย และในปี 2026 นี้ การปรับราคายังไม่หยุดนิ่ง โดยโรงงานผู้ผลิตหลักในไทยต่างทยอยปรับราคาขึ้นเฉลี่ย 5–10% ต่อปี

สาเหตุหลักของการปรับราคาปูนซีเมนต์ในปี 2026

  1. ต้นทุนเชื้อเพลิง – ปูนซีเมนต์เป็นผลิตภัณฑ์ที่ต้องใช้พลังงานจำนวนมากในกระบวนการผลิต เช่น ถ่านหินและน้ำมันเตา ซึ่งราคายังทรงตัวสูงในปี 2026

  2. ต้นทุนวัตถุดิบ – วัตถุดิบหลัก เช่น หินปูน และทรายหยาบ มีแนวโน้มลดลงในหลายพื้นที่ ทำให้ต้นทุนการขนส่งและการจัดหาสูงขึ้น

  3. ค่าขนส่งและโลจิสติกส์ – ราคาน้ำมันที่ยังไม่ลดลงอย่างชัดเจนส่งผลต่อต้นทุนรวมในการจัดส่งสินค้า

  4. การปรับตามมาตรฐานสิ่งแวดล้อม – โรงงานต้องลงทุนในระบบกำจัดฝุ่นและลดคาร์บอนมากขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนผลิตสูงขึ้น

เมื่อปูนแพง คอนกรีตก็ต้องปรับตาม

ราคาคอนกรีตผสมเสร็จและคอนกรีตสำเร็จรูปทุกชนิดในปี 2026 ต่างได้รับผลกระทบโดยตรงจากราคาปูนซีเมนต์ โดยเฉพาะคอนกรีตประเภทที่ต้องการ “ความแข็งแรงสูง” เช่น คอนกรีตสำหรับเสาเข็ม, พื้นสำเร็จ, คาน หรือท่อระบายน้ำแบบรับแรงอัด ทั้งนี้ในบางพื้นที่ ราคาคอนกรีตปรับขึ้นสูงถึง 8–12% จากปีก่อน ซึ่งกลายเป็นภาระสำคัญของผู้รับเหมาและเจ้าของโครงการ

ผู้เล่นในตลาดเริ่มปรับตัว

  • โรงงานผลิตคอนกรีต หันไปใช้วัตถุดิบผสมจากเศษวัสดุรีไซเคิล เช่น fly ash หรือ slag เพื่อลดต้นทุน

  • ผู้รับเหมา หันมาใช้แบบสำเร็จรูปมากขึ้น เพื่อควบคุมปริมาณการใช้คอนกรีต และลดความสูญเปล่าหน้างาน

  • เจ้าของโครงการ ต้องวางแผนสั่งซื้อวัสดุและล็อกราคาไว้ล่วงหน้า เพื่อบริหารความเสี่ยงด้านต้นทุน

    คอนกรีต
    คอนกรีต

4. คอนกรีต   วัสดุต้นทางที่สำคัญของอุตสาหกรรมก่อสร้าง

คอนกรีตไม่ใช่แค่วัสดุสำหรับเทถนน พื้น หรือเสา แต่ถือเป็น “วัสดุตั้งต้น” ที่ถูกนำไปแปรรูปและประยุกต์ใช้ในวัสดุก่อสร้างสำเร็จรูปหลากหลายประเภท ตั้งแต่แผ่นพื้น ท่อระบายน้ำ ไปจนถึงกระเบื้องหลังคาและผนังสำเร็จรูป ด้วยคุณสมบัติที่แข็งแรง ทนทาน ราคาต่อหน่วยไม่สูง และสามารถผลิตได้เป็นจำนวนมาก คอนกรีตจึงเป็นหัวใจหลักของสายการผลิตวัสดุก่อสร้างแทบทุกประเภทในประเทศไทย

จุดเด่นของคอนกรีตที่ทำให้กลายเป็นวัสดุตั้งต้นหลัก

  • ปรับสูตรได้ตามการใช้งาน เช่น คอนกรีตรับน้ำหนักสูง, คอนกรีตกันซึม, คอนกรีตตกแต่ง

  • ขึ้นรูปได้หลากหลาย ผ่านแม่พิมพ์ (mold) และระบบโรงงาน (precast factory)

  • หาวัตถุดิบได้ในประเทศ ลดการพึ่งพาวัสดุนำเข้า

  • ใช้ในผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปได้อย่างแม่นยำ เช่น แผ่นพื้นคอนกรีตสามารถควบคุมความหนา ความแข็งแรง และระนาบได้ดีกว่าเทหน้างาน

สินค้าที่ผลิตจากคอนกรีตซึ่งมีบทบาทสูงในปี 2026

  1. แผ่นพื้นสำเร็จรูป (Precast Slab) – ใช้ในบ้านจัดสรร คอนโด โรงงาน

  2. ท่อคอนกรีตระบายน้ำ – จำเป็นในงานระบบระบายน้ำของภาครัฐและเอกชน

  3. กระเบื้องหลังคาคอนกรีต – นิยมในบ้านสไตล์โมเดิร์น และอาคารพาณิชย์

  4. เสาเข็มคอนกรีตอัดแรง – ใช้รับน้ำหนักอาคารสูง โกดัง และโรงงาน

  5. ผนังคอนกรีตสำเร็จรูป (Precast Wall Panel) – ประหยัดเวลาและแรงงาน

คอนกรีตอยู่ตรงกลางของ “ห่วงโซ่การผลิตวัสดุก่อสร้าง”

ทุกวัสดุที่กล่าวมาไม่เพียงแต่มีคอนกรีตเป็นส่วนประกอบ แต่ยังอาศัยระบบการผลิตอุตสาหกรรมที่ต้องการคุณภาพคงที่ ความรวดเร็วในการผลิต และการบริหารสต็อกอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างจำเป็นต้องมีแหล่งวัตถุดิบคอนกรีตที่เชื่อถือได้ และสามารถจัดส่งได้ตรงเวลา นี่คือเหตุผลว่าทำไมการบริหารจัดการต้นทุนคอนกรีตจึงเป็นเรื่อง “ระดับยุทธศาสตร์” สำหรับผู้เล่นในอุตสาหกรรม

5. คอนกรีตสำเร็จรูป: การเปลี่ยนแปลงของการใช้งานในโครงการจริง

ในอดีต งานก่อสร้างมักใช้วิธี “เทคอนกรีตหน้างาน” โดยอาศัยแรงงานคนและแม่แบบไม้หรือเหล็ก ซึ่งมีข้อจำกัดหลายด้าน เช่น ความแม่นยำ ความเร็ว และการควบคุมคุณภาพ แต่ในปี 2026 แนวโน้มของวงการก่อสร้างได้เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ด้วยการหันมาใช้ “คอนกรีตสำเร็จรูป (Precast Concrete)” มากขึ้นในทุกกลุ่มงาน ไม่ว่าจะเป็นบ้านแนวราบ คอนโดมิเนียม โกดัง อาคารพาณิชย์ ไปจนถึงระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน

ทำไม “คอนกรีตสำเร็จรูป” ถึงตอบโจทย์ปี 2026?

  1. ลดระยะเวลาก่อสร้างลงได้มากกว่า 30–50% – เพราะชิ้นส่วนถูกผลิตในโรงงานและขนส่งมาประกอบหน้างาน

  2. ลดการใช้แรงงานฝีมือในไซต์งาน – ซึ่งเป็นปัญหาหลักของผู้รับเหมาไทยในช่วงที่แรงงานขาดแคลน

  3. ควบคุมคุณภาพได้สูงกว่าการเทหน้างาน – โดยเฉพาะเรื่องของความหนาแน่น ความแข็งแรง และระดับผิวงาน

  4. ต้นทุนคงที่มากกว่าในระยะยาว – แม้ต้นทุนเริ่มต้นอาจสูงขึ้นเล็กน้อย แต่ช่วยลดความเสี่ยงเรื่องการแก้งานหรือเสียเวลา

ตัวอย่างรูปธรรมจากผู้รับเหมาในปี 2026

  • โครงการบ้านจัดสรรขนาด 100 หลังในโซนกรุงเทพฯ ตะวันออก หันมาใช้ แผ่นพื้นสำเร็จรูป และ ผนังคอนกรีตพรีแคส ทำให้ลดเวลาสร้างบ้านจาก 9 เดือน เหลือเพียง 6 เดือน

  • โครงการงานระบายน้ำในเขตอุตสาหกรรมใช้ ท่อคอนกรีตสำเร็จรูป พร้อมบ่ารองสำเร็จ ลดปัญหาการเทหน้างานช่วงฤดูฝน

  • ผู้พัฒนาโรงงานขนาด 5,000 ตร.ม. ใช้ เสาเข็มคอนกรีตอัดแรง แบบผลิตจากโรงงานที่มีใบรับรอง มอก. ช่วยให้วิศวกรมั่นใจในค่ากำลังรับน้ำหนักมากขึ้น

อนาคตของคอนกรีตสำเร็จรูป

คาดว่าในอีก 3–5 ปีข้างหน้า คอนกรีตสำเร็จรูปจะเข้ามาแทนที่งานเทหน้างานในสัดส่วนเกินกว่า 70% สำหรับโครงการที่มีขนาดใหญ่หรือมูลค่าสูง ผู้เล่นในตลาดที่สามารถสร้างสายการผลิตของตนเอง หรือจับมือกับโรงงานผลิตพรีแคส จะได้เปรียบในด้านต้นทุน ความเร็ว และคุณภาพงานมากกว่าอย่างมีนัยสำคัญ

คอนกรีต
คอนกรีต

6. แผ่นพื้นสำเร็จรูปกับการเลือกใช้คอนกรีตคุณภาพ

แผ่นพื้นสำเร็จรูป (Precast Concrete Floor Slab) ถือเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์จากคอนกรีตที่มีการใช้งานแพร่หลายมากที่สุดในปี 2026 ทั้งในงานบ้านพักอาศัย ทาวน์โฮม อาคารพาณิชย์ โกดัง และแม้แต่โครงการรัฐขนาดใหญ่ ความนิยมที่เพิ่มขึ้นของแผ่นพื้นสำเร็จรูปเกิดจากความสามารถในการตอบโจทย์ “ความเร็ว + คุณภาพ + ต้นทุนควบคุมได้” พร้อมทั้งช่วยลดปัญหาที่มักเกิดในหน้างาน เช่น การตั้งไม้แบบ, การเทปูนผิดระดับ, หรือการรอคอนกรีตเซตตัว

คุณสมบัติของแผ่นพื้นสำเร็จรูปที่ดี ต้องพึ่งพาคอนกรีตคุณภาพสูง

การผลิตแผ่นพื้นสำเร็จรูปไม่ใช่แค่การหล่อปูนให้แข็งตัว แต่เป็นกระบวนการที่ต้องใช้ “คอนกรีตผสมสูตรเฉพาะ” ที่มีคุณสมบัติทางวิศวกรรมสอดคล้องกับการใช้งาน เช่น:

  • คอนกรีตอัดแรง (Prestressed Concrete) สำหรับแผ่นพื้นขนาดยาวที่ต้องรับน้ำหนักมากโดยไม่โก่งตัว

  • คอนกรีตผสมเสริมใยเหล็ก (Fiber Reinforced Concrete) ที่ช่วยเพิ่มความเหนียว ลดการแตกร้าวก่อนเวลา

  • คอนกรีตควบคุมคุณภาพ (QC Concrete) ที่ผ่านการตรวจสอบค่า Slump, ค่า Strength, ค่าอุณหภูมิ ฯลฯ ก่อนเข้าแม่พิมพ์

ทำไมผู้รับเหมายุคใหม่จึงเลือกใช้แผ่นพื้นสำเร็จจากโรงงานแทนเทหน้างาน?

  • ควบคุมระนาบพื้นได้แม่นยำสูง ลดการแก้ไขงานฉาบ

  • ลดค่าแรงหน้างานได้ถึง 40% เพราะไม่ต้องตั้งไม้แบบหรือรอคอนกรีตเซตตัว

  • เพิ่มประสิทธิภาพการวางแผนไซต์งาน เพราะสามารถจัดส่งและติดตั้งได้ตามแผน

สินค้าจาก “ทีริช กรุ๊ป” กับมาตรฐานแผ่นพื้นสำเร็จรูป

บนเว็บไซต์ trich.co.th ทีริช กรุ๊ปนำเสนอแผ่นพื้นสำเร็จรูปที่ผลิตจากโรงงานที่ผ่านมาตรฐาน มอก. และ QC ทุกล็อต พร้อมให้บริการแบบ “เต็มเที่ยวรถ” เพื่อความคุ้มค่าทั้งด้านต้นทุนและการจัดส่ง ลูกค้าที่ต้องการแผ่นพื้นสำหรับบ้านเดี่ยว 1 หลัง หรือโครงการจัดสรร 100 หลัง ก็สามารถปรึกษาวิศวกรของทีริชเพื่อออกแบบการสั่งซื้อที่เหมาะสมกับโหลดโครงสร้างจริงได้ทันที

7. คอนกรีต กับการผลิตท่อระบายน้ำ มาตรฐานและการใช้งาน

หนึ่งในสินค้าจำเป็นในระบบโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยคือ “ท่อระบายน้ำคอนกรีต” ซึ่งถูกใช้ในแทบทุกโครงการ ตั้งแต่หมู่บ้านจัดสรร ถนนสาธารณะ โรงงานอุตสาหกรรม ไปจนถึงระบบระบายน้ำของหน่วยงานรัฐ ท่อคอนกรีตเหล่านี้แม้ดูเหมือนวัสดุพื้นฐาน แต่ความจริงแล้วเป็นผลิตภัณฑ์ที่ต้องใช้คอนกรีตคุณภาพสูง และผ่านการผลิตภายใต้การควบคุมมาตรฐานอย่างเข้มงวด เพื่อให้สามารถรับแรงได้ตามเงื่อนไขของงาน และมีอายุใช้งานนับสิบปี

มาตรฐานที่ใช้ในการผลิตท่อระบายน้ำคอนกรีต

  1. มอก. 128-2561 – กำหนดคุณสมบัติของท่อระบายน้ำคอนกรีตเสริมเหล็ก เช่น ความหนาแน่น ความสามารถในการรับแรงอัด การต้านทานการซึมน้ำ

  2. Class ท่อ – แบ่งออกเป็น Class 1, 2, 3 ตามแรงอัดที่รองรับ (เช่น งานถนน ใช้ Class 3)

  3. ขนาดและเส้นผ่านศูนย์กลาง – ตั้งแต่ 30 ซม. จนถึง 150 ซม. แล้วแต่การออกแบบของโครงการ

  4. คอนกรีตที่ใช้ – ต้องเป็นคอนกรีตที่มี Slump ต่ำ เพื่อให้แน่นและรับแรงอัดสูง โดยมักใช้อยู่ที่ 350–400 ksc

การใช้งานจริงในไซต์งานก่อสร้าง

  • หมู่บ้านจัดสรร/โรงงาน – ใช้ท่อคอนกรีตชนิดปลายบาน/ปลายตรงเพื่อเชื่อมต่อระบบน้ำเสีย น้ำฝน

  • โครงการภาครัฐ – ใช้ท่อขนาดใหญ่ (800 มม. ขึ้นไป) สำหรับโครงการระบายน้ำฝนหรือแก้มลิงชุมชน

  • งานทดแทนท่อเก่า – ใช้ท่อคอนกรีตสำเร็จเพื่อเร่งการก่อสร้างในพื้นที่จำกัด เช่น เขตเมือง

จุดแข็งของคอนกรีตในงานท่อคือ “ความทนทานระยะยาว”

แม้ว่าท่อ HDPE หรือท่อ PVC จะเริ่มเข้ามาแย่งตลาดในบางพื้นที่ แต่ท่อคอนกรีตยังคงเป็นทางเลือกหลักในงานที่ต้องการอายุใช้งาน 20–30 ปี เพราะทนการกดทับของรถบรรทุก และความร้อนจากอากาศประเทศไทยได้ดีกว่า อีกทั้งยังสามารถรับแรงอัดจากดินถมและแรงน้ำใต้ดินได้โดยไม่แอ่นตัวเหมือนท่อพลาสติก

ท่อระบายน้ำคอนกรีต ของทีริช

ทีริช กรุ๊ป มีจำหน่าย ท่อคอนกรีตเสริมเหล็กคุณภาพ มอก. ทั้งแบบปลายตรงและปลายบาน รองรับการใช้งานได้ทั้งงานเอกชนและโครงการรัฐ โดยจำหน่ายเป็น “เต็มเที่ยวรถ” เพื่อให้ลูกค้าได้รับราคาต่อชิ้นที่คุ้มค่า พร้อมมีบริการแนะนำชนิดของท่อตามแบบ BOQ และเงื่อนไขหน้างานโดยทีมวิศวกรของบริษัท

8. คอนกรีต สำหรับกระเบื้องหลังคา: ความทนทานและดีไซน์

กระเบื้องหลังคาคอนกรีตในปี 2026 ไม่ใช่แค่วัสดุปิดหลังคาเพื่อกันแดดกันฝนอีกต่อไป แต่กลายเป็นส่วนสำคัญของ “ดีไซน์บ้าน” ที่เจ้าของบ้านและสถาปนิกให้ความสำคัญมากขึ้น ด้วยคุณสมบัติของคอนกรีตที่สามารถขึ้นรูปเป็นลอน รูปทรง สี และพื้นผิวได้หลากหลาย ทำให้กระเบื้องคอนกรีตกลายเป็นตัวเลือกหลักในตลาดกลางถึงพรีเมียม แทนที่กระเบื้องลอนซีเมนต์ไฟเบอร์ หรือกระเบื้องเซรามิกแบบดั้งเดิม

จุดเด่นของกระเบื้องคอนกรีตในเชิงวิศวกรรม

  1. ทนแรงกระแทกได้สูง – เพราะคอนกรีตหนาและมีความแข็งแรงเชิงกลดีเยี่ยม

  2. ทน UV และอุณหภูมิสูง – เหมาะกับสภาพอากาศร้อนชื้นของประเทศไทย

  3. มีระบบ interlock – ช่วยให้ติดตั้งง่าย ไม่รั่วซึม และรองรับแรงลม

  4. อายุใช้งานยาวนานกว่า 30 ปี – หากติดตั้งอย่างถูกต้อง

ด้านดีไซน์: คอนกรีต = อิสระในการออกแบบ

  • สีสันที่หลากหลาย เช่น เทาเข้ม, น้ำตาลช็อกโกแลต, ดำด้าน, แดงอิฐ ฯลฯ

  • พื้นผิวที่เลือกได้: ผิวเรียบ ผิวทราย ผิวลอนลึก

  • รองรับบ้านสไตล์โมเดิร์น, นอร์ดิก, ทรอปิคัล ฯลฯ

เทรนด์ปี 2026: คนไทยหันมาใช้ “กระเบื้องคอนกรีต” มากขึ้น

จากข้อมูลยอดขายของผู้ผลิตรายใหญ่ในประเทศ ยอดขายกระเบื้องหลังคาคอนกรีตในปี 2026 เติบโตเฉลี่ย 8–10% เมื่อเทียบกับปี 2025 โดยเฉพาะในโครงการบ้านจัดสรรระดับกลาง–บน ที่ต้องการหลังคาสีเข้ม น้ำหนักมาก ช่วยเก็บความเย็น และคงทนในระยะยาว ขณะที่ต้นทุนของกระเบื้องประเภทนี้ยังสามารถควบคุมได้ภายใต้ระบบการผลิตแบบ mass production

ทีริช กรุ๊ป กับกระเบื้องหลังคาคอนกรีตคุณภาพ

สินค้ากระเบื้องหลังคาคอนกรีตจาก trich.co.th มาจากแบรนด์ชั้นนำของประเทศ เช่น ตราเพชร, SCG, CPAC ซึ่งมีมาตรฐานการผลิตและบริการจัดส่งแบบเที่ยวรถเต็มคัน ลูกค้าสามารถเลือกรุ่น สี และลอน ได้ตามแบบแปลน โดยทีมงานทีริชพร้อมให้คำแนะนำทั้งด้านการเลือกรุ่น และการวางระบบหลังคาร่วมกับช่างติดตั้ง เพื่อให้การใช้งานกระเบื้องคอนกรีตมีประสิทธิภาพสูงสุด

9. คอนกรีต กับการพัฒนาเทคโนโลยีก่อสร้างใหม่ๆ เช่น Precast, 3D Printing

ในปี 2026 คอนกรีตไม่ได้ถูกมองเป็นแค่วัสดุก่อสร้างพื้นฐานอีกต่อไป แต่กลายเป็น “วัสดุอัจฉริยะ” ที่สามารถประยุกต์เข้ากับเทคโนโลยีก่อสร้างยุคใหม่ได้อย่างหลากหลาย โดยเฉพาะระบบ Precast Concrete, 3D Concrete Printing และ Robotic Fabrication ซึ่งช่วยผลักดันการก่อสร้างให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เร็วขึ้น และแม่นยำขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

1. คอนกรีตกับ Precast 4.0

ระบบ Precast Concrete ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ในปี 2026 เทคโนโลยีโรงงานผลิตพรีแคสมีการพัฒนาเข้าสู่ยุค Precast 4.0 ซึ่งมีจุดเด่นคือ:

  • ใช้ ระบบ BIM (Building Information Modeling) ควบคุมการผลิต–ติดตั้ง

  • สามารถ track ชิ้นส่วนแต่ละชิ้นจากโรงงานถึงไซต์งาน

  • ใช้หุ่นยนต์ในการเทคอนกรีต/เคลือบผิว ลดแรงงานคน

  • ปรับสูตรคอนกรีตอัตโนมัติตามสภาพแวดล้อมหรือชิ้นงานเฉพาะ

2. คอนกรีตกับ 3D Printing: สร้างบ้านได้จริง

คอนกรีต 3 มิติ หรือ Concrete 3D Printing เริ่มถูกใช้งานจริงแล้วในบางโครงการทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยเฉพาะใน:

  • การสร้างบ้านต้นแบบในเวลาไม่เกิน 48 ชั่วโมง

  • การผลิตชิ้นส่วนตกแต่งสถาปัตยกรรมที่ซับซ้อน เช่น เสาโรมัน กำแพงทรงอิสระ

  • การสร้างโครงสร้างชั่วคราว เช่น Shelter, Booth, Pavilion

คุณสมบัติคอนกรีต 3D Printing ต้องพิเศษ เช่น เซตตัวเร็ว, ยืดหยุ่นในช่วงเวลาสั้น, และรองรับ Layer ซ้อนหลายชั้นโดยไม่ทรุดตัว ซึ่งแตกต่างจากคอนกรีตทั่วไปที่ใช้ในงานหล่อแบบ

3. Robotic Construction และคอนกรีตเฉพาะทาง

หุ่นยนต์ก่อสร้างที่สามารถเทคอนกรีตโดยไม่ใช้แบบ (formwork-free casting) หรือพ่นคอนกรีตในแนวดิ่ง–แนวโค้งเริ่มถูกนำมาใช้งานในโครงการพิเศษ เช่น สนามกีฬา หรือศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์ รูปทรงอิสระของอาคารเริ่มทำได้ง่ายขึ้นด้วยการผสมผสานคอนกรีตสูตรเฉพาะกับเทคโนโลยีควบคุมแบบ CNC

10. คอนกรีตกับ ความคุ้มค่าทางธุรกิจของการลงทุนในสินค้าคอนกรีตปี 2026

แม้ในปี 2026 ต้นทุนคอนกรีตจะสูงขึ้นตามราคาปูนซีเมนต์และพลังงาน แต่ในเชิงธุรกิจ “คอนกรีต” ยังคงเป็นหนึ่งในวัสดุก่อสร้างที่ ให้ผลตอบแทนคุ้มค่าที่สุด สำหรับทั้ง 3 กลุ่มหลักในวงจรอุตสาหกรรมก่อสร้าง ได้แก่ ผู้ผลิตวัสดุ, ผู้รับเหมา, และ เจ้าของโครงการ

มุมมองธุรกิจ: ทำไมคอนกรีตยังคุ้ม?

1. ผู้ผลิตวัสดุ: ผลิตได้เป็นจำนวนมาก มีกำไรต่อหน่วยชัดเจน

  • วัตถุดิบในประเทศ หาง่าย ไม่ต้องพึ่งนำเข้า

  • โรงงานสามารถผลิตแบบ mass production ควบคุมต้นทุนได้

  • สามารถพัฒนาเป็นสินค้าสำเร็จรูป เช่น แผ่นพื้น, ท่อ, กระเบื้อง ฯลฯ เพิ่มมูลค่าได้หลายเท่า

2. ผู้รับเหมา: ควบคุมต้นทุน และระยะเวลาก่อสร้างได้ดีกว่า

  • ใช้คอนกรีตสำเร็จรูปลดค่าแรง ลดความเสี่ยงงานเสีย

  • คำนวณโหลดและกำลังรับน้ำหนักได้ชัดเจน ปลอดภัย ไม่ต้อง over design

  • บริหารไซต์งานได้แม่นยำ ไม่ต้องรอเทคอนกรีตหรือรอวัสดุเซตตัว

3. เจ้าของโครงการ: บริหารต้นทุนรวมตลอดโครงการได้

  • คอนกรีตมีอายุการใช้งานนาน ลดค่าบำรุงรักษาในระยะยาว

  • สินค้าคอนกรีตสำเร็จมักมาพร้อมใบรับรอง มอก./มาตรฐาน QC ช่วยให้ยื่นกู้กับธนาคารง่ายขึ้น

  • สร้างมูลค่าทางอสังหาริมทรัพย์ เพราะดูแข็งแรง ทนทาน ลูกค้ามั่นใจ

Case Study: การคุ้มค่าของแผ่นพื้น vs เทคอนกรีตหน้างาน

รายการเทคอนกรีตหน้างานใช้แผ่นพื้นสำเร็จ
ค่าแรงสูง (ต้องตั้งแบบ, รอเท)ต่ำ (ติดตั้งแล้วฉาบได้เลย)
เวลา7–10 วันต่อชั้น2–3 วันต่อชั้น
ความเสี่ยงหน้างานสูง (ฝนตก, เซตตัวผิด)ต่ำ (ควบคุมจากโรงงาน)
การควบคุมต้นทุนผันผวนคงที่มากกว่า
อายุใช้งาน15–20 ปี25–30 ปี (หาก QC ดี)

ผลลัพธ์: แม้ต้นทุนเริ่มต้นของคอนกรีตสำเร็จจะสูงกว่าเล็กน้อย แต่เมื่อคิดรวมต้นทุนแรงงาน, เวลา, ความเสี่ยง และค่าบำรุงรักษาในระยะยาวแล้ว คอนกรีตยังคงคุ้มกว่าในระดับโครงการ

11. ทิศทางซัพพลายเชนคอนกรีต: โรงงาน – ผู้รับเหมา – เจ้าของโครงการ

ห่วงโซ่อุปทานของคอนกรีตในปี 2026 ไม่ใช่เพียงแค่การผลิตแล้วขายออกไปเท่านั้น แต่เป็นระบบที่มีความสัมพันธ์ซับซ้อนระหว่าง โรงงานผลิต, ผู้รับเหมา, และ เจ้าของโครงการ ซึ่งแต่ละฝ่ายมีบทบาทและแรงกดดันที่แตกต่างกันในภาวะต้นทุนสูง ความต้องการเฉพาะทาง และความกดดันเรื่องระยะเวลา

1. โรงงานผลิต: ต้องเร่งปรับคุณภาพและความเร็ว

  • ต้องลงทุนเครื่องจักรและระบบ QC เพื่อแข่งขันด้านคุณภาพ

  • ต้องมีระบบจัดส่งที่แม่นยำและยืดหยุ่น รองรับความต้องการไซต์งานที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอด

  • เริ่มมีโรงงานที่รับ ผลิตแบบ Made-to-Order ตามแบบวิศวกรโดยเฉพาะ เช่น เสาเข็มแรงอัดเฉพาะจุด, พื้นความหนาพิเศษ

2. ผู้รับเหมา: อยู่ตรงกลางของแรงกดดัน

  • ต้องต่อรองราคาระหว่างต้นทุนจากโรงงาน และราคาที่เสนอให้เจ้าของโครงการ

  • ต้องบริหารหน้างานให้ทันเวลา โดยไม่มีปัญหาของขาด หรือของมาช้า

  • รับความเสี่ยงจากทั้งสองฝั่ง เช่น เจ้าของปรับแบบ, โรงงานดีเลย์

3. เจ้าของโครงการ: เน้นความโปร่งใสและคุมต้นทุนแบบมืออาชีพ

  • เลือกวัสดุที่มีเอกสารรับรอง มอก./ใบกำกับภาษี เพื่อใช้ยื่นกู้หรือตรวจสอบคุณภาพ

  • เริ่มต้องการซื้อวัสดุ “โดยตรง” จากผู้ผลิต เพื่อลดราคาผ่านคนกลาง

  • ให้ความสำคัญกับแผนส่งมอบและความเสถียรของผู้ขายมากขึ้น

แนวทางของ “ทีริช กรุ๊ป” ในปี 2026

  • ทำงานเชิงระบบกับโรงงานทั่วประเทศ คัดเฉพาะผู้ผลิตที่มี มอก. และระบบควบคุมคุณภาพ

  • ให้บริการครบวงจรกับผู้รับเหมา ตั้งแต่เลือกวัสดุ เทียบสเปก ไปจนถึงจัดส่งเต็มเที่ยว

  • ช่วยวางแผนให้เจ้าของโครงการ เช่น เทียบราคา, เช็กแบบ, เสนอใบเสนอราคาพร้อมเอกสารทางบัญชี

ทีริชทำหน้าที่เป็น “ตัวกลางที่มีประสบการณ์ก่อสร้างจริง” จึงเข้าใจทั้งฝั่งหน้างานและฝั่งการเงิน พร้อมประสานทุกฝ่ายให้โครงการเดินหน้าได้ราบรื่นและคุ้มค่าที่สุด

12. ปรับตัวอย่างไร? เมื่อคอนกรีตกลายเป็นดัชนีต้นทุนหลักในโครงการก่อสร้าง

ในปี 2026 “ราคาคอนกรีต” กลายเป็นตัวแปรสำคัญที่สามารถเปลี่ยนทิศทางของทั้งโครงการก่อสร้างได้ ตั้งแต่การวางแผนงบประมาณ ไปจนถึงการบริหารความเสี่ยง และการเจรจากับธนาคารเพื่อขอสินเชื่อ เจ้าของโครงการ ผู้รับเหมา และซัพพลายเออร์ต่างต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับภาวะที่คอนกรีตไม่ใช่ “ต้นทุนแฝง” อีกต่อไป แต่คือ “ตัวตั้งต้น” ที่ต้องวางแผนอย่างละเอียด

กลยุทธ์การปรับตัวของแต่ละฝ่าย

1. เจ้าของโครงการ:

  • วางแผนสเปควัสดุตั้งแต่ต้น พร้อมสำรองงบกรณีราคาปรับขึ้น

  • เลือกใช้วัสดุสำเร็จรูปที่ควบคุมปริมาณคอนกรีตได้ เช่น แผ่นพื้น, ผนังพรีแคส

  • ทำข้อตกลง “ล่วงหน้ากับซัพพลายเออร์” ล็อกราคาคอนกรีตหากจำเป็น

2. ผู้รับเหมา:

  • ทำ BOQ อย่างละเอียด และอัพเดตราคาเป็นระยะ ๆ

  • ประเมินความเสี่ยงจากต้นทุนคอนกรีต และแจ้งลูกค้าตรง ๆ ตั้งแต่ต้น

  • ใช้ผู้ผลิตที่มีมาตรฐาน ส่งตรงเวลา เพื่อไม่ให้โครงการดีเลย์แล้วต้นทุนเพิ่ม

3. โรงงาน/ซัพพลายเออร์:

  • แจ้งปรับราคาให้โปร่งใสและมี timeline ชัดเจน

  • มีบริการเสริม เช่น บริการส่งเอกสาร มอก., ใบแจ้งราคาล่วงหน้า

  • ให้คำแนะนำทางเทคนิค เช่น สูตรคอนกรีตที่เหมาะกับสเปกของลูกค้าแต่ละราย

ระบบจัดซื้อในปี 2026 ต้อง “คิดแบบนักวางแผน”

ผู้จัดซื้อยุคใหม่ไม่ได้แค่โทรถามราคาแล้วจบ แต่ต้องวางแผนแบบมืออาชีพ:

  • รู้ว่าควรซื้อ “เมื่อไร” มากกว่าซื้อจาก “ใครถูกกว่า”

  • รู้ว่าสินค้าคอนกรีตนั้นเกี่ยวพันกับต้นทุนหน้างานอย่างไร

  • ต้องเข้าใจแรงกดดันจากทั้งต้นน้ำ (โรงงาน) และปลายน้ำ (ลูกค้า)

แนวคิด “คอนกรีตไม่ใช่แค่ของแข็ง แต่คือจุดตัดของต้นทุน”

ในยุคที่การก่อสร้างต้องคิดเร็ว ตัดสินใจไว คอนกรีตจึงไม่ใช่แค่วัสดุก่อสร้างอีกต่อไป แต่เป็นดัชนีเชิงเศรษฐศาสตร์ที่ต้องติดตามเหมือนราคาน้ำมัน หรือค่าแรงขั้นต่ำ ใครที่เข้าใจสิ่งนี้ก่อน ย่อมสามารถคุมต้นทุนทั้งโครงการได้อย่างแม่นยำ และทำกำไรได้อย่างยั่งยืน

13. สรุป: คอนกรีตจะยังคงเป็นหัวใจของการก่อสร้างในอนาคตหรือไม่?

แม้โลกก่อสร้างจะเข้าสู่ยุคของนวัตกรรม เทคโนโลยี และความต้องการวัสดุที่ยั่งยืนมากขึ้น แต่ “คอนกรีต” ยังคงเป็นวัสดุที่ยืนหยัดอยู่กลางวงจรของอุตสาหกรรมนี้อย่างมั่นคง เพราะมันตอบโจทย์ทั้งความแข็งแรง ความยืดหยุ่นในการใช้งาน และความสามารถในการประยุกต์เข้ากับเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้อย่างหลากหลาย

ในปี 2026 เราได้เห็นแล้วว่า คอนกรีต:

  • เป็นวัสดุต้นทางที่ใช้ผลิตสินค้าเชิงวิศวกรรมจำนวนมาก เช่น แผ่นพื้น ท่อ เสาเข็ม กระเบื้อง

  • ปรับตัวเข้ากับระบบอุตสาหกรรมสมัยใหม่ เช่น Precast, BIM, 3D Printing

  • มีบทบาทสำคัญทั้งในด้าน ต้นทุน, เวลา, และ คุณภาพ ของโครงการ

  • กลายเป็น “ดัชนีต้นทุนหลัก” ที่ทุกคนในวงการก่อสร้างต้องให้ความสำคัญ

แม้จะมีคู่แข่งเกิดขึ้นในบางสาย เช่น วัสดุเบา, พลาสติก, หรือไฟเบอร์ แต่สิ่งเหล่านั้นยังไม่สามารถแทนที่บทบาทของคอนกรีตได้ในภาพรวม โดยเฉพาะในงานโครงสร้างหลักที่ต้องการความมั่นคงในระยะยาว

ดังนั้น คำตอบคือ: “คอนกรีตจะยังคงเป็นหัวใจของการก่อสร้างไปอีกนาน”
แต่จะเป็นคอนกรีตที่ฉลาดขึ้น เร็วขึ้น และมีคุณค่าทางธุรกิจมากกว่าที่เคยเป็นมา